มองชีวิต ผ่านญี่ปุ่น VI
เริ่มงาน เริ่มใช้ชีวิต
วันที่สองของการอยู่ที่ฟาร์ม
วันนี้เป็นวันที่เริ่มทำงานอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากตารางที่ลุงเขียนไว้ให้คร่าวๆ
คือเริ่มตื่นนอนเจ็ดโมงเช้า ให้อาหารไก่ ทานข้าวเช้าซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นขนมปัง ทำงานในฟาร์มผัก
ดื่มชา ทำงาน ทานข้าวเที่ยง ทำงาน ดื่มชา ทำงาน ทานข้าวเย็น
วนไปอย่างนี้เรื่อยๆทุกวัน
ตารางทำงานคร่าวๆ ที่ลุงเขียนไว้ให้
แต่เอาเข้าจริงงานไม่หนักเลย เพราะพักจิบชาแต่ละครั้งก็กินเวลาไปเป็นชั่วโมงแล้ว
อากาศเย็นที่นี่เหมาะแก่การดื่มชาอย่างมาก ขณะที่จิบชาฟังเสียงธรรมชาตินั้น ก็คุยกับลุงไปเรื่อยๆ
เราว่ามันเป็นเวลาที่ดีมาก ได้พูดคุยกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
ยิ่งเราต่างวัฒนธรรมด้วยแล้ว ยิ่งคุยกันสนุกเข้าไปใหญ่ ลุงแนะนำให้มาเที่ยวญี่ปุ่นช่วงที่ดอกซากุระบานด้วย
เพราะเป็นช่วงที่สวยที่สุด ทุกที่จะเต็มไปด้วยดอกซากุระ โดยซากุระเริ่มบานจากภาคใต้แล้วไล่ขึ้นมาภาคเหนือ
ลุงพูดขนาดนี้แล้ว คงต้องมาชมซากุระให้ได้ซักครั้งแล้วละสิ วันนี้งานในฟาร์มหลักๆเป็นการขุดเผือก
แต่ที่เราชอบที่สุดคือโรงเก็บเผือก มองผ่านๆเหมือนเป็นแค่โรงเก็บของธรรมดา
แต่พอเปิดผ้าคลุมออก โอ้โห มันเป็นบันไดลงไปอีก เหมือนมีห้องใต้ดินเล็กๆอยู่ในนั้น
เป็นการใช้พื้นที่ได้คุ้มค่ามาก ลุงบอก woofer จากเยอรมัน
(หรืออิตาลีนี่แหละไม่แน่ใจ จำไม่ค่อยได้) ช่วยกันขุดให้ มันใหญ่มาก และเก็บเผือก
มันฝรั่ง ได้มากมาย เลยทีเดียว
ภาพโรงเพาะเลี้ยงต้นอ่อน
ส่วนที่อยู่ข้างหลังทางขวามือนั้นเป็นโรงเก็บเผือกและมันฝรั่ง
วันนี้ตอนเย็นลุงไปรับคุณป้ามาลี ซึ่งเป็น host
อีกท่านที่คอยดูแลเรา ป้ารักแมวมาก เรียกว่าทาสแมวเลยแหละ
เห็นแมวจรจัดที่ไหนจะเก็บมาเลี้ยงตลอด และป้าก็จะเป็นคนทำอาหารแทนลุง ป้าใจดีมากคอยสอนเราหลายๆอย่าง
วันนี้ตอนเย็นมีการแข่งฟุตบอลกับระหว่าง ญี่ปุ่นกับ ซาอุดิอาระเบีย
นั่งเชียร์กันสนุกสนาน หลังดูฟุตบอลจบก็นั่งคิดกับตัวเองว่า เรามาถึงจุดนี้ได้ไง
จุดที่มานั่งดูทีวีญี่ปุ่น เชียร์ฟุตบอลญี่ปุ่น ทานข้าวกับคนญี่ปุ่น ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้รับอะไรดีๆแบบนี้
ไม่มีกำแพงทางความคิด ไม่มีกำแพงทางภาษา และได้เห็นโลกในอีกด้านที่ซ่อนอยู่
ก่อนนอนก็นั่งเขียนบันทึกก่อนนอนเล็กน้อย
และก็ปิดไฟเข้านอน ส่วนป้ากับลุงก็เข้านอนประมานสี่ทุ่ม
เราจะเป็นคนปิดไฟในบ้านก่อนนอนทุกวัน ทุกครั้งที่เขียนบันทึกก็มักจะมีแมวมานั่งเล่นด้วย
และตั้งแต่วันนั้นทุกวันเราก็จะเป็นคนเข้านอนคนสุดท้าย และปิดไฟในบ้านตลอด ทำอย่างนี้ทุกวัน
มันทำให้รู้สึกว่าที่นี่เป็นเหมือนครอบครัว และที่ชอบมากคือ
คนที่นี่เขาใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ตื่นมาทำฟาร์ม จิบชายามบ่าย
ตอนเย็นทานข้าว พูดคุยกัน แล้วก็นอน คือเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก
บางทีก็คิดนะเรามาหาความสงบไกลถึงที่นี่เลยหรอ อยู่ที่บ้านเราก็ทำได้มั้ง แค่ทำอะไรง่ายๆ
ไม่ต้องลงทุนมาไกลขนาดนี้มั้ง แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงจะเลือกมาที่นี่อยู่ดี
ไม่ใช่เพราะความเรียบง่าย แต่มันเป็นเพราะอะไรหลายๆอย่างที่ได้จากที่นี่ ครั้งหนึ่งในชีวิตที่รู้สึกว่า
การมาที่นี่เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด
ติดอันดับสิ่งที่มีค่าที่สุดของชีวิตเลยแหละ
วันนี้มีเพื่อนจากที่ไทย
วีดิโอคอลมาหาด้วย ได้ทักทายป้าด้วย ตื่นเต้นกันใหญ่เลย ต้องขอบคุณเทคโนโลยี
ที่ทำให้เรามากันไกลได้ถึงขนาดนี้ แม้บางทีเราอาจมองว่าเทคโนโลยีใหม่ๆนี้ทำให้เราล้าหลังจากความเรียบง่ายมากขึ้น
ทำให้ความสัมพันธ์ของผู้คนลดลง ทำให้มนุษย์เราหยาบกระด้างกันมากขึ้น
แต่บางทีความสะดวกสบายเหล่านี้มันก็มีข้อดีของมันนะ
เพียงแค่เราต้องรู้จักใช้ให้พอดี
ต้องรู้ตัวตลอดว่าอะไรที่มันต้องใช้หรืออะไรที่มันมากเกินความจำเป็น
และสิ่งไหนที่เราควรให้ความสำคัญ อะไรที่ควรค่าแก่การเรียนรู้
แค่นี้เราก็อยู่กับเทคโนโลยีใหม่ๆได้ด้วยความเรียบง่ายแล้วหละ
เพื่อนแมวตัวน้อย
ที่มานั่งเป็นเพื่อนตอนเขียนบันทึก



ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น