มองชีวิต ผ่านญี่ปุ่น IV

วันแรกในญี่ปุ่น

ถ้าจะนับตามจริง วันนี้ถือเป็นวันแรกในญี่ปุ่น เราเคยคิดว่าการใช้ชีวิตคนเดียวมันยาก ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่ายากอยู่นะ แต่การใช้ชีวิตคนเดียวในประเทศที่เราไม่รู้จักใคร และไม่มีใครรู้จักเรานั้น มันง่ายซะกว่าที่คิดไว้อีกนะ ง่ายกว่าใช้ชีวิตที่บ้านเราซะอีก มีอิสระทางความคิดมาก ไม่ต้องคิดอะไรมาก ตอนนั้นลืมทุกอย่างที่เคยทำทุกวันที่บ้านเราเลย หยุดคิดเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องปัญหาต่างๆในชีวิตถูกหยุดไว้หมดเลย คิดแค่สิ่งที่ได้เจอะเจอตรงหน้าเท่านั้นผู้คนมากมายไม่ได้ทำให้เรากลัว วัฒนธรรมที่แปลกใหม่ไม่ได้ยากต่อการเข้าถึง แค่การสังเกตและยอมรับมันก็เข้าใจได้ไม่ยาก แน่นอนว่าที่แรกของการมาเที่ยว ต้องเป็นวัดก่อน อย่างน้อยก็มาขอพรให้การมาเที่ยวครั้งนี้ราบรื่น ( แล้วก็ได้ตามที่ขอ ) ที่จริงแล้ววัดที่ญี่ปุ่นมีเอกลักษณ์ในตัวเองมาก ต่างกับวัดที่ไทยเราโดยสิ้นเชิง แต่สิ่งที่วัดทุกวัดมีเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นที่ไหนคือ ความเชื่อและความศรัทธาจากผู้คนที่มาสักการะ ขอพร และน่าแปลกที่ไม่ว่าวัดไหนๆ ก็ทำให้เรารู้สึกสงบได้เสมอ แค่นั่งนิ่งๆดูผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา แทนที่เราจะคิดว่ามันวุ่นวาย แต่ไม่เลย มันกลับเป็นภาพที่สวยงาม และดูมีความหมาย ผู้คนที่นี่มักจะพาครอบครัวมาวัดในวันสำคัญของเขา รวมไปถึงวันแต่งงานด้วยนะ พวกเขาจะแต่งตัวตามประเพณีดูสุภาพมาก พวกเขายิ้มแย้มแจ่มใส คุยกันสนุกสนาน แค่นั่งมองเรายังมีความสุขเลย พวกเขาต้องมีความสุขมากแน่ๆ

ภาพใต้โคมหน้าวัด sensoji

การเดินผ่านผู้คนมากมายระหว่างทางเดินในสวนสาธารณะ  มันมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น มันคือความรู้สึกชอบ และรักที่นี่มาก วันนั้นอยู่ที่สวนแห่งนี้นานถึงสามชั่วโมงได้ นั่งดูครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่พากันมาปูเสื่อนั่งเล่นกับลูกๆเพลินๆ ที่นี่กว้างมากทำให้เด็กๆวิ่งเล่นได้อย่างเต็มที่  สูดอากาศและเดินเล่นไปเรื่อยๆ เมื่อยก็นั่งพัก มันเป็นอะไรที่ผ่อนคลายมาก ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก หิวก็หาอะไรทาน อยากรู้อะไรก็เข้าไปดู เข้าไปถาม บางทีคนเราอยู่กับกรอบชีวิตที่สร้างขึ้นมากเกินไป จนลืมไปว่าชีวิตเราไม่ได้ต้องการอะไรมากมายเลย แค่กินเมื่อหิว พักเมื่อรู้สึกเหนื่อย อยากไปทางซ้ายก็ไปทางซ้าย อยากไปขวาก็ไปขวา อยากหยุดก็หยุด อยากออกก็ออก ออกไปไหนไม่ได้ก็ออกทางเข้าเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย
ภาพต่างๆในสวนสาธารณะแห่งนี้ทำให้คิดถึงตอนเด็กๆ ตอนนั้นพ่อกับแม่ชอบพาเราไปเที่ยวสวนสาธารณะมาก ไปแทบทุกเย็น ตอนนั้นเรามีความสุขมาก ได้เล่นอย่างเต็มที่ เท่าที่เด็กคนนึงจะทำได้ในวัยของเขา โดยไม่ต้องกังวลอะไรมากมายเพราะมีพ่อแม่เราคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้หลายคนคงทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว นอกจากจะไม่มีใครคอยดูแลแล้ว บางทียังต้องดูแลคนที่เรารักอีก แต่เราว่ามันเป็นความสุขนะ เพราะเราเต็มใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำมัน แม้จะเป็นการคอยดูแลคนอื่น แต่ก็เป็นสิ่งที่มีความสุขและอยากทำ เราว่ามันเป็นพลังของความรักหล่ะ เริ่มเข้าใจพ่อแม่ที่รักและเป็นห่วงลูกๆแล้ว (แม้จะยังไม่เข้าใจในบางเรื่องก็ตาม) เฮ้อ! อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจัง

ภาพสวนสาธารณะ ueno ที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย

 เดินออกมาเรื่อยๆ ก็เจอกับตลาด ameyoko ที่จริงแล้วตลาด ameyoko ไม่ได้ยู่ในแพลนการเที่ยววันนี้ซะทีเดียว เพราะหลังจากเที่ยววัด ชมสวนเสร็จ ก็รู้สึกว่าอิ่มเอมพอแล้วสำหรับวันนี้ แต่เดินไปเรื่อยๆ มันมาโผล่หน้าตลาดได้ไงไม่รู้ เอาวะ! เดินดูหน่อยละกัน ไหนๆก็มาแล้ว

ภาพตลาด ameyoko ที่เต็มไปด้วยผู้คน

ถ้าใครเคยเดินจับจ่ายซื้อของแถวๆสำเพ็งคงนึกภาพตลาด ameyoko ที่ ueno ออก หรือถ้าเป็นคนเชียงใหม่คงนึกถึงกาดหลวง จริงๆแล้วตลาดแห่งนี้มีกลิ่นอายของตลาดเก่าแก่อยู่นะ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าราคาถูก การตะโกนเชียร์สินค้า ของพ่อค้าแม่ค้าตามร้านรวงต่างๆ ถ้าลองหลับตาฟัง จะรู้สึกเหมือนตลาดที่เมืองไทยเลยแหละ แต่ก็ไม่มันเหมือนซะทีเดียว ยังมีบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นอยู่ คือมีความเป็นระเบียบ ขนาดซื้อผลไม้สดกิน ยังต้องยืนกินท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเลย คล้ายฉากหนังเล็กๆฉากหนึ่ง ท่ามกลางฝูงชนมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมานั้น ยังมีคนกลุ่มเล็กๆยืนกินผลไม้สดอยู่หน้าร้าน โดยยืนล้อมถังขยะไว้ กินเสร็จก็ทิ้งไม้ลงถัง แล้วเดินผ่าฝูงชนที่เยอะแยะมากมายเหล่านั้นออกไปเนียนๆ คิดแล้วก็ตลกดีเพราะเราก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น แต่ผลไม้ที่นี่ก็อร่อยจริงๆนะ มันฉ่ำและหวานมาก ควรค่าแก่การบอกต่อ ใครได้มาญี่ปุ่น ต้องอย่าลืมกินผลไม้สดนะ แล้วจะติดใจเน้อ แต่ที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่างของที่นี่คือเสียงรถไฟ เพราะที่ตั้งของตลาดจะอยู่ใต้รางรถไฟพอดี ทำให้ได้ยินเสียงรถไฟวิ่งเป็นระยะๆ เราว่ามันเป็นจุดเด่นของที่นี่เลยแหละ
การยืนกินผลไม้หน้าถังขยะ ท่ามกลางผู้คนมากมาย โดยมีเสียงรถไฟเป็นเสียงประกอบฉาก ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ที่แปลก แต่น่าจดจำนะ แม้จะขำๆ แต่ดีต่อใจ
ใครเคยดูรายการเทยเที่ยวไทย ( ที่มีพี่ๆกระเทย สามคนพาไปเที่ยวต่ามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แบบง่ายๆ ไปตามได้ไม่ยาก แต่จะฮามากถ้าเคยไปแล้วกลับมาดูรายกายย้อนหลัง ) คงนึกภาพออก จะมีช่วงหนึ่งที่เป็นช่วงเดินซื้อของ แล้วพูดคุยกับพ่อค้าแม้ค้า ต่อราคากันไปฮาๆ วันนี้เราก็ได้ต่อราคากับพ่อค้าชาวญี่ปุ่นนะ ไปซื้อรองเท้าบูทสำหรับทำฟาร์ม ก็ลองต่อราคากันไป ปรากฏว่าต่อได้นะ พ่อค้าใจดีมาก ลดให้ด้วย แม้ว่าจะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่สุดท้ายเขาก็ลดให้จากราคาที่ตั้งไว้นะ แต่ที่เราประทับใจมากคือเขาสุภาพมาก ถ้าลดไม่ได้ก็จะบอกอย่างสุภาพ ขอโทษขอโพยว่าไม่ได้แล้ว เราว่ามันเป็นความภูมิใจเล็กๆของคนซื้อของที่ได้ต่อราคานะ แม้บางทีจะรู้ว่ามันเป็นกลยุทธ์ในการขายก็เถอะ

รองเท้าที่ได้มา จากการต่อราคาที่น่าภูมิใจ 

เคยได้ยินว่าคนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่เวลาหนึ่งวันในชีวิตแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ตอนแรกก็งงๆกับคำนี้นะ แต่วันนี้เข้าใจแล้วว่ามันเป็นเวลาหนึ่งวันที่เรากำหนดได้เองว่าจะทำอะไร ไม่ใช่เข็มนาฬิกาที่คอยบอกเวลาอย่างที่เคยเข้าใจ ขณะที่เราเที่ยวเวลามักจะผ่านไปเร็ว เพราะเรามีความสุข แต่ถ้าต้องทำอะไรที่ไม่ชอบจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้า นั่นแหละ หนึ่งวันที่เรากำหนดเอง ว่าเราจะให้ผ่านไปช้าหรือเร็ว แต่วันนี้เรามีความสุขมากนะ เวลาในชีวิตผ่านไปเร็วมาก ( อาจจะเป็นเพราะที่นี่ฟ้ามืดเร็วด้วยมั้ง ) แต่เราก็ได้ไปเที่ยว ไปทำอะไรมากมายเหมือนได้เที่ยวเป็นเดือนเลย แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเร็วแต่ได้ประสบการณ์และความสุข สนุกสนานมากมายเป็นเดือน ถือว่าคุ้มค่ามาก
แต่วันนี้ยังไม่จบแค่นี้ เพราะมันจบที่ย่าน Ginza ที่เขาว่ากันว่าย่านหรูหรา ก็เลยไปดูให้รู้ว่าหรูหราอย่างไร พอไปถึงความหรูหรามันก็มีนะ มีแทกซี่ มีบ้านคนรวย แทรกอยู่ท่ามกลางร้านต่างๆ แต่แทนที่จะได้ซึมซับความหรูหราแบบเต็มสูบ มันกลับถูกแทนที่ด้วยร้านรวงมากมาย ทั้งอาหาร ของใช้ เสื้อผ้าต่างๆมากมาย เริ่มถูกกิเลิสครอบงำ ซื้อของเพลิน รู้ตัวอีกที เฮ้ยเรามานั่งข้างตู้น้ำหยอดเหรียญหน้าที่พักได้ไงเนี้ย หันไปข้างๆ โอ้โห ถุงต่างๆนับไม่ถ้วนกองเต็มไปหมดเลย นึกว่าถุงขยะ แต่มันไม่ใช่ ไง ที่นี่เขาคงไม่ทิ้งขยะกันแบบนี้มั้ง รู้ตัวอีกที อ้าว! ของเราเอง ซื้ออะไรไปมากมายเนี้ย นี่แหละที่เขาว่ากันว่าหน้ามืด อาเมน
แล้ววันนี้ก็จบลงด้วยที่นอนนุ่มๆ อุ่นๆ Zzz




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้