มองชีวิต ผ่านญี่ปุ่น III
เริ่มเดินทาง
ก่อนที่จะไปเราก็ลางานก่อน
ประมาณสิบวัน (ที่จริงเรามีวันลาแค่หกวันต่อปี แต่อยากไปสิบวันก็เลยตัดสินใจอยู่เวรฟรี
แบบไม่คิดค่าเวร เพื่อที่จะเก็บเป็นวันหยุดแทน พี่ๆที่ทำงานเขาก็ใจดีนะ ช่วยจัดตารางเวรให้)
ทุกคนค่อนข้างตกใจที่รู้ว่าเราไปคนเดียวทั้งๆที่ไม่เคยไป (แต่ที่บ้านไม่รู้) เพื่อนๆก็เอาใจช่วยนะ
ได้อยู่แล้ว ไม่อยากหรอก ค่อยๆไป แต่บางคนก็บอกว่ายากนะ หลงแน่ เหงาแน่ ไปคนเดียวบ้ารึเปล่า
ต่างๆนาๆ แต่เราเตรียมใจไว้ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะไปคนเดียวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ต้องเจอ
การเดินทางที่บางทีอาจผิดแผนบ้าง หลงบ้าง ก็ไม่เป็นไร เรายอมรับกับสิ่งเหล่านี้ได้
ทุกสิ่งที่แปลกใหม่ถือว่าได้เรียนรู้ และทุกๆการเปลี่ยนแปลงนั้นมันเป็นเรื่องปกติโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
เราเข้าใจและยอมรับในตรงนี้ เลยทำให้อุปสรรคในการเดินทางลดลงไปได้มาก
แทบจะเป็นศูนย์เลยด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็จัดการอุปสรรคในการตัดสินใจไปต่างประเทศคนเดียวได้
ก่อนถึงวันเดินทางเรายังทำงานทุกวัน
พอรู้ตัวอีกทีก็ถึงวันเดินทางแล้ว
ด้วยการที่ต้องเดินทางจากเชียงใหม่เพื่อไปต่อเครื่องที่สนามบินดอนเมืองนั้น
ทำให้เราต้องนอนสนามบินหนึ่งคืน เพราะกลัวว่าจะไม่ทัน คืนแรกดูที่พักที่สนามบินไว้
แต่พอไปถึงจริงๆก็ตัดสินใจไม่พัก เพราะค่าที่พักแพงเกินกว่าจะพักผ่อนอย่างสงบได้
(เสียดายเงินอันน้อยนิดในกระเป๋า) เดินเตร็ดเตร่ไปมาซักพัก
เริ่มเห็นคนนอนตามเก้าอี้บ้าง กางที่นอนกับพื้นกันเลยก็มี ดูไปดูมาก็ไม่เลวร้าย
แผนสองที่ไม่ได้คิดมาก่อน ก็ผุดขึ้นมาในสมองทันที เฮ้ย! รอดแล้ว มองหาเก้าอี้ซักแถวนึง วางของไกล้ๆตัว แล้วล้มตัวลงนอนทันที
คิดว่าเป็นการนอนที่แปลกใหม่ แต่ก็สนุกดี
เช้าวันต่อมาหลังจากจัดการกับตัวเองเสร็จก็ขึ้นเครื่อง
บินตรงสู่ประเทศญี่ปุ่นทันที ประมาณห้าชั่วโมงบนเครื่องบิน หลับๆตื่นๆเป็นสิบรอบได้
แค่หนุ่มๆญี่ปุ่นที่นั้งข้างๆสองคนนั้น ก็ทำให้ได้บรรยากาศของความเป็นญี่ปุ่นละ (พยายามสร้างความคุ้ยเคยให้ตัวเอง)
หลังจากนอนหัวโขกกันไปมาหลายรอบกับหนุ่มยุ่นบนเครื่อง ก็ถึงสนามบินนานาชาตินาริตะซักที
เป็นเวลาประมานหนึ่งทุ่ม ตามเวลาญี่ปุ่น
ภาพขณะรอรถไฟเพื่อเข้าโตเกียวจากสนามบินนาริตะ
ด้วยมือสั่นๆ ที่สัมผัสกับอากาศหนาวๆของญี่ปุ่นในเดือนพฤศจิกายน
เขาว่ากันว่าคนไทยไปญี่ปุ่นประมาณปีละแปดแสนคนต่อปี
คิดเป็นแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด
แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งปีหลังๆมานี้ตัวเลขยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
แล้วในวันที่เราถึงสนามบินนาริตะ
ก็รู้เลยว่าคนไทยเราชอบเที่ยวญี่ปุ่นกันมากขนาดไหน
ไปต่างประเทศแต่รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน คนไทยเยอะมาก
จากสิ่งที่วาดภาพไว้ว่าน่าจะเจอกับสิ่งนั้น สิ่งนี้ แบบนั้น แบบนี้
แต่สิ่งที่ได้เจอกับเป็นภาพที่ต่างออกไปจากที่คิด
และมันก็เข้ามาแทนที่ภาพที่วาดฝันไว้ได้อย่างลงตัวและสมบูรณ์แบบมาก มันเป็นอะไรที่อธิบายยากว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง
สิ่งต่างๆมากมายที่น่าตื่นเต้นและแปลกใหม่เข้ามาทักทายตลอดเวลา
วิธีรับมือกับมันมีอยู่ทางเดียวคือ “สติ” เพราะหลายสิ่งที่เราเจอมันคือครั้งแรกในชีวิต
แม้ว่าเราจะเคยเจอเหตุการณ์ครั้งแรกในชีวิตมามากมาย แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ต้องใช้สติให้มากที่สุดเท่าที่เคยได้ใช้...
การเดินทางไปยังที่พักในคืนแรกไม่ได้ยากอย่างที่คิด
บ้านเมืองที่นี่อยู่ง่าย มีป้ายบอกทางที่ชัดเจน แค่ไปตามแผนที่ ก็ไปถึงที่หมายได้อย่าง่ายดาย
สำหรับสถานีรถไฟที่นี่ค่อนข้างวุ่นวายสำหรับความคิดเรา ยิ่งสถานีใหญ่ๆ คนยิ่งเยอะ
ยิ่งเร่งรีบ แต่ก็ง่ายต่อการเดินทาง เพราะมันสะดวกไปหมดทุกอย่าง
แทนที่จะเป็นอุปสรรคในการท่องเที่ยว
เพราะตอนแรกเราคิดว่ามันคงเยอะแยะมากมายจนหลงไปหมด แต่ไม่เลย
เป็นอะไรที่ทำให้เดินทางได้สะดวกมาก ไปตามที่ต่างๆได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
รู้สึกชื่นชมในเรื่องการคมนาคมของเขามาก มีการสร้างสถานีรถไฟมากมายทั้งบนดิน
และใต้ดิน แม้กระทั่งสร้างกันจนแผ่นดินยุบตัวลงเลยทีเดียว (ช่วงนั้นหลายคงคงได้ข่าวแผ่นดินถล่มที่หน้าสถานีรถไฟฮากาตะ
จังหวัดฟุกุโอกะ ทำให้ไม่สามารถใช้ถนนบริเวณนั้นได้
เนื่องมาจากการสร้างทางเดินรถไฟใต้ดิน
แต่พวกเขาก็ซ่อมแซมจนถนนกลับมาใช้ได้ปกติภายในเวลาแค่ 4 วัน ทั้งที่จริงๆแล้วใช้เวลาซ่อมเพียง 2 วันเท่านั้น)
แต่พวกเขาก็ยังสร้างต่อไป เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง
แม่ว่าแผ่นดินจะยุบตัวลงแต่พวกเขาก็ซ่อมมันได้ภายในเวลาไม่นาน
เราอาจมองเป็นเรื่องใหญ่ แต่เขาคงมองว่าเป็นแค่ข้อผิดพลาดเล็กน้อยในการสร้างถนน
คล้ายๆกับใส่เกลือลงไปในกาแฟพอมันเค็มก็แค่ชงแก้วใหม่ แล้วเปลี่ยนไปใสน้ำตาลแทน
แค่นี้ก็ได้กาแฟอย่างที่ต้องการเหมือนเดิม แก้วกาแฟก็ยังเป็นแก้วเดิม
แทบจะไม่ทันได้รู้ด้วยซ้ำว่ามันเคยชงพลาดมาก่อน
ภาพแผ่นดินถล่มหน้าสถานีรถไฟฮากาตะ
จังหวัดฟุกุโอกะ ที่ผ่านการซ่อมแซมโดยใช้เวลาเพียง 48 ชั่วโมงเท่านั้น ( www.theguardian.com )


ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น